-คำสรรพนาม ( pronoun) --
2.2 คำสรรพนาม ( pronoun)
คือ คำที่ใช้แทนคำนามและข้อความที่กล่าวถึงมาแล้ว หรือกำลังจะกล่าวต่อไป เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวซ้ำ นักศึกษาลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้
a) Joseph is quite tall and chubby. Joseph has large dark eyes hidden behind Joseph 's gold-framed glasses. Joseph's thick eyebrows and very thin lips make Joseph look serious and unkind.
a) Joseph is quite tall and chubby. Joseph has large dark eyes hidden behind Joseph 's gold-framed glasses. Joseph's thick eyebrows and very thin lips make Joseph look serious and unkind.
b) Joseph is quite tall and chubby. He has large dark eyes hidden behind his gold-framed glasses. His thick eyebrows and very thin lips make him look serious and unkind.
ข้อความ a) ใช้คำนามคำเดียวกันตลอดซึ่งก่อให้เกิดความซ้ำซาก ในขณะที่ข้อความ b) ใช้คำสรรพนาม
รูปต่าง ๆ แทนคำนาม Joseph จึงทำให้ข้อความสละสลวยกว่า
รูปต่าง ๆ แทนคำนาม Joseph จึงทำให้ข้อความสละสลวยกว่า
2.2.1 ประเภทของคำสรรพนาม คำสรรพนามอาจแบ่งออกได้เป็น 7 ประเภทดังนี้คือ
1) Personal Pronoun คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคล ได้แก่
Person | Singular | Plural |
1st person | I, my*, mine*, me | We, our*, ours*, us |
2nd person | you, your*, yours* | you, your*, yours* |
3rd person | he, his*, him, she, her*, hers*, it, its* | they, their*, theirs*, them |
You should leave your tray on that table. I've already put mine there.
Narinthip donates her blood every month.
The teacher asked us to participate in a forum.
Narinthip donates her blood every month.
The teacher asked us to participate in a forum.
อย่างไรก็ตาม บางครั้งคำสรรพนามในตารางที่มีเครื่องหมาย* อาจจัดเป็นประเภทของ possessive pronouns ซึ่งเป็นคำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของก็ได้
2) Demonstrative Pronoun คือ คำสรรพนามที่แสดงการชี้เฉพาะ ได้แก่ this, that, these
และ those
และ those
This is his new pocketbook.
These are Kate's belongings.
These are Kate's belongings.
3) Indefinite Pronoun คือ คำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะ ได้แก่
Singular | everyone, everybody, everything, someone, somebody, something, anyone, anybody, anything, each, another, either, one, no one, nobody, nothing, neither |
Plural | others, many, several, both, few |
Singular or Plural | all, more, most, some, such, any, none |
Nobody is perfect.
Jack and Jill love to exercise. Both are in good health.
Jack and Jill love to exercise. Both are in good health.
4) Relative Pronoun คือ คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคย่อยไม่อิสระเข้ากับคำนาม หรือ
สรรพนามอื่นที่ต้องการขยาย ได้แก่ who, whom, whose, which และ that
( ศึกษารายละเอียดในโมดูลที่ 11 Complex Sentences: Adjective Clauses)
สรรพนามอื่นที่ต้องการขยาย ได้แก่ who, whom, whose, which และ that
( ศึกษารายละเอียดในโมดูลที่ 11 Complex Sentences: Adjective Clauses)
My niece who is married to a vet is going to have a baby.
The movie which she directs will be released soon.
The movie which she directs will be released soon.
5) Reflexive and Intensive Pronoun คือ คำสรรพนามที่ใช้เมื่อประธานและกรรม
เป็นคนเดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน ได้แก่ myself, yourself, himself, herself, itself, ourselves,
yourselves, themselves ( รูป –self /-selves ของคำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคล)
เป็นคนเดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน ได้แก่ myself, yourself, himself, herself, itself, ourselves,
yourselves, themselves ( รูป –self /-selves ของคำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคล)
เมื่อทำหน้าที่เป็นกรรม หรือส่วนเสริมประธาน จะเรียกว่า reflexive pronoun เช่น
She cut herself when cooking.
Paul is not himself today; he may have something on his mind.
Paul is not himself today; he may have something on his mind.
เมื่อทำหน้าที่เป็น appositive เพื่อเป็นการเน้นประธาน จะเรียกว่า intensive pronoun เช่น
I did this myself .
You have to tell him the truth yourself .
You have to tell him the truth yourself .
6) Interrogative Pronoun คือ คำสรรพนามที่ใช้ในการถามคำถาม เช่น who, which , what
Who wrote Harry Potter ?
Which is your bag: the black one or the brown one?
What happened at the BTS station?
Which is your bag: the black one or the brown one?
What happened at the BTS station?
7) Reciprocal Pronoun คือ คำสรรพนามที่ใช้แสดงว่าบุคคลหรือสิ่งนั้นกระทำหรือรู้สึก
เช่นเดียวกันต่อกัน
เช่นเดียวกันต่อกัน
Romeo and Juliet love each other so much.
These quadruplets ( ฝาแฝดสี่คน) always take care of one another .
These quadruplets ( ฝาแฝดสี่คน) always take care of one another .
2.2.2 การใช้รูปต่าง ๆ ของคำสรรพนาม
รูปของคำสรรพนาม ( case) ในภาษาอังกฤษมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปคือ
subjective ( รูปที่เป็นประธาน) ,
possessive ( รูปที่แสดงความเป็นเจ้าของ) ,
objective ( รูปที่เป็นกรรม) ดังแสดงในตาราง
subjective ( รูปที่เป็นประธาน) ,
possessive ( รูปที่แสดงความเป็นเจ้าของ) ,
objective ( รูปที่เป็นกรรม) ดังแสดงในตาราง
Subjective Case | Possessive Case | Objective Case | |
Singular | I he, she, it | my, mine his, her, hers, its | me him, her, it |
Plural | we they | our, ours their, theirs | us them |
Singular or Plural | you who | your, yours whose | you whom |
Source: Ellsworth, Blanche and Higgins, John A. (2010). English Simplified.
Twelfth Edition. USA: Pearson Education, Inc., p. 17.
Twelfth Edition. USA: Pearson Education, Inc., p. 17.
2.2.3 หน้าที่หรือตำแหน่งของคำสรรพนาม
ในประโยคภาษาอังกฤษ คำสรรพนามสามารถทำหน้าที่ หรืออยู่ในตำแหน่งเดียวกับคำนามได้
ยกเว้นส่วนเสริมกรรม ดังนี้
ในประโยคภาษาอังกฤษ คำสรรพนามสามารถทำหน้าที่ หรืออยู่ในตำแหน่งเดียวกับคำนามได้
ยกเว้นส่วนเสริมกรรม ดังนี้
1) ประธาน
They save hundreds of lives.
They save hundreds of lives.
2) กรรมตรง
I'll call you after the meeting.
I'll call you after the meeting.
3) กรรมรอง
The teacher gave her an assignment.
4) กรรมตามหลังบุพบท
All Thai people pray for him .
5) ส่วนเสริมประธาน
A: May I speak to Ms. Ananya?
B: This is she .
The teacher gave her an assignment.
4) กรรมตามหลังบุพบท
All Thai people pray for him .
5) ส่วนเสริมประธาน
A: May I speak to Ms. Ananya?
B: This is she .
6.1 ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + Verb 2
ตัวอย่าง : 1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )( ประธาน + กริยาช่องที่ 2 )
2. They played volleyball last week. ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
6.2 ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to doข้อสังเกต : เมื่อนำ did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่ 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย
ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1
ตัวอย่าง : 1. He did not ( didn’t ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1 )
2. They did not play volleyball last week. ( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
6.3 ประโยค Past Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ did มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1
ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ )( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )
2. Did they play volleyball last week ?( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่ )- Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา )
- No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )
- Yes, they did. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่น )
- No, they didn’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น )
6.4 หลักการใช้ Past Simple Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคำ กลุ่มคำ หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค
คำ กลุ่มคำ อนุประโยคago last night when he was young once last year when he was five years old yesterday yesterday morning when I lived in Tokyo during the war
เช่น 1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )
2. His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )
3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก )
6.5 หลักการเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่นlove - loved = รัก
move - move = เคลื่อน
hope - hoped = หวัง
ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่นcry - cried = ร้องไห้
try - tried = พยายาม
marry - married = แต่งงาน
3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่นplay - played = เล่น
stay - stayed = พัก , อาศัย
enjoy - enjoyed = สนุก
obey - obeyed = เชื่อฟัง
4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่นplan - planned = วางแผน
stop - stopped = หยุด
beg - begged = ขอร้อง
ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่นconcur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย
occur - occurred = เกิดขึ้น
refer - referred = อ้างถึง
permit - permitted = อนุญาต
5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่นcover - covered = ปกคลุม
open - opened = เปิด
walk - walked = เดิน
start - started = เริ่ม
worked - worked = ทำงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น